การฉีดวัคซีนให้กับสุนัขถือเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรงที่อาจคุกคามชีวิตของเพื่อนสี่ขา โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยมีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าและโรคติดเชื้อต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การฉีดวัคซีนลูกสุนัข: จุดเริ่มต้นของการป้องกัน
การฉีดวัคซีนลูกสุนัขควรเริ่มต้นเมื่ออายุ 6-8 สัปดาห์ เป็นการฉีดครั้งแรก จากนั้นจะต้องฉีดซ้ำทุก 3-4 สัปดาห์ จนกว่าลูกสุนัขจะอายุครบ 16 สัปดาห์
เหตุผลที่ต้องฉีดวัคซีนในช่วงอายุนี้เป็นเพราะลูกสุนัขจะมีภูมิคุ้มกันจากน้ำเนื้อแม่ (maternal antibodies) ที่ได้รับจากการดูดน้ำนม ซึ่งภูมิคุ้มกันนี้จะค่อยๆ ลดลงในช่วงอายุ 6-16 สัปดาห์ หากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงนี้ ลูกสุนัขจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคร้ายแรงต่างๆ
ตารางเวลาการฉีดวัคซีนสุนัขที่แนะนำ
สำหรับตารางเวลาการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมนั้น สัตวแพทย์แนะนำให้ปฏิบัติดังนี้:
อายุ 6-8 สัปดาห์: ฉีดวัคซีนรวม DHPP (Distemper, Hepatitis, Parvovirus, Parainfluenza) ครั้งแรก พร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคไอกรน (Kennel Cough) หากจำเป็น
อายุ 10-12 สัปดาห์: ฉีดวัคซีนรวม DHPP ครั้งที่สอง และอาจเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ได้ตามกฎหมาย
อายุ 14-16 สัปดาห์: ฉีดวัคซีนรวม DHPP ครั้งที่สาม และวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หากยังไม่เคยฉีด
หลังจากนั้นจะต้องฉีดวัคซีนซ้ำ (booster) ทุกปี เพื่อให้ภูมิคุ้มกันคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ความสำคัญของวัคซีนแต่ละชนิด
วัคซีน DHPP ถือเป็นวัคซีนหลักที่สุนัขทุกตัวควรได้รับ เนื่องจากป้องกันโรคที่เป็นอันตรายและพบได้บ่อยในสุนัข ได้แก่:
- Distemper: โรคจากไวรัสที่ทำให้เกิดไข้สูง ท้องเสีย ปอดอักเสบ และอาการทางระบบประสาท
- Hepatitis: โรคตับอักเสบจากไวรัสที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
- Parvovirus: โรคที่พบบ่อยในลูกสุนัข ทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียน และขาดน้ำ
- Parainfluenza: โรคที่เป็นสาเหตุของโรคไอกรน
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเป็นวัคซีนที่บังคับตามกฎหมาย เนื่องจากโรคพิษสุนัขบ้าสามารถติดต่อไปยังมนุษย์ได้ และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 100% หากไม่ได้รับการรักษา
สุนัขโตแล้วที่ไม่เคยฉีดวัคซีน
สำหรับสุนัขที่มีอายุมากกว่า 16 สัปดาห์ และไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ดร.สมชาย แนะนำว่า “ควรเริ่มต้นด้วยการฉีดวัคซีนรวม DHPP 2 ครั้ง ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ พร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า จากนั้นจึงฉีดซ้ำทุกปี”
การฉีดวัคซีนในสุนัขโตแล้วจะให้ผลตอบสนองที่รวดเร็วกว่าลูกสุนัข เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากปล่อยให้นานเกินไป สุนัขจะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโรคร้ายแรงต่างๆ
วัคซีนเสริมที่ควรพิจารณา
นอกจากวัคซีนหลักแล้ว ยังมีวัคซีนเสริมที่เจ้าของสุนัขควรพิจารณาตามสถานการณ์และความเสี่ยง:
วัคซีนป้องกันโรคไอกรน (Kennel Cough): แนะนำสำหรับสุนัขที่ต้องเข้าสถานที่ฝากเลี้ยง โรงเรียนสอนสุนัข หรือสถานที่ที่มีสุนัขหลายตัวอยู่รวมกัน
วัคซีนป้องกันโรคไลม์ (Lyme Disease): แนะนำสำหรับสุนัขที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าหรือมีเห็บจำนวนมาก
วัคซีนป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis): แนะนำสำหรับสุนัขที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสน้ำเสียหรือสัตว์ป่า
สัญญาณและอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน
การฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เช่น:
- ซึมเศร้า กินอาหารน้อยลง เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- มีการบวมเล็กน้อยบริเวณจุดฉีด
- อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หากสุนัขมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น หายใจลำบาก ชัก หรือมีผื่นแพ้ทั่วร่างกาย ควรรีบนำไปพบสัตวแพทย์ทันที
ข้อควรระวังก่อนการฉีดวัคซีน
ก่อนการฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรสังเกตอาการของสุนัขให้ดี:
- สุนัขต้องมีสุขภาพแข็งแรง: ไม่มีไข้ ไม่ท้องเสีย ไม่มีอาการป่วย
- หลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนขณะที่สุนัขเครียด: เช่น หลังจากการย้าย หรือเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
- แจ้งสัตวแพทย์เกี่ยวกับยาที่สุนัขได้รับ: โดยเฉพาะยาต้านฮิสตามีนและยาสเตียรอยด์
ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการฉีดวัคซีน
ตอนแรกคิดว่าฉีดวัคซีนครั้งเดียวก็พอ จนลูกสุนัขป่วยด้วยโรคพาร์โวไวรัส ถึงได้รู้ว่าต้องฉีดหลายครั้ง และต้องฉีดซ้ำทุกปี
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการฉีดวัคซีน ได้แก่:
- ฉีดไม่ครบตามกำหนด: โดยเฉพาะในลูกสุนัขที่ต้องฉีดหลายครั้ง
- ลืมฉีดวัคซีนซ้ำประจำปี: ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง
- ฉีดวัคซีนขณะที่สุนัขป่วย: อาจทำให้วัคซีนไม่ได้ผล
- ซื้อวัคซีนมาฉีดเอง: โดยไม่มีความรู้เรื่องการเก็บรักษาและวิธีการฉีด
ค่าใช้จ่ายและการเตรียมตัว
ค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนสุนัขจะแตกต่างกันไปตามคลินิกและชนิดของวัคซีน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 300-800 บาทต่อครั้ง สำหรับวัคซีนรวม DHPP และ 200-500 บาทสำหรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
เพื่อให้การฉีดวัคซีนได้ผลดีที่สุด เจ้าของสัตว์เลี้ยงควร:
- จองนัดหมายล่วงหน้า
- นำสมุดประวัติการฉีดวัคซีนมาด้วย
- ระบุอาการผิดปกติที่สังเกตเห็น (ถ้ามี)
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์อย่างเคร่งครัด
ผลกระทบของโควิด-19 ต่อการฉีดวัคซีนสัตว์
ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 หลายเจ้าของสัตว์เลี้ยงเลื่อนการพาสัตว์ไปฉีดวัคซีน ส่งผลให้มีการระบาดของโรคในสัตว์เพิ่มขึ้น ดร.วิชาญ สุขสันต์ จากสมาคมสัตวแพทย์แห่งประเทศไทย เตือนว่า “การฉีดวัคซีนสัตว์ถือเป็นบริการจำเป็น ไม่ควรเลื่อนออกไป เนื่องจากโรคในสัตว์อาจรุนแรงกว่าโควิด-19”
ปัจจุบันคลินิกสัตวแพทย์ส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงมาตรการป้องกันการติดเชื้อ เช่น การจองนัดหมายล่วงหน้า การรักษาระยะห่างทางสังคม และการใส่หน้ากากอนามัย
แนวโน้มการพัฒนาวัคซีนใหม่
ในอนาคต อาจมีการพัฒนาวัคซีนใหม่ที่ให้ภูมิคุ้กันยาวนานขึ้น หรือวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคได้หลายชนิดในการฉีดครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม สัตวแพทย์แนะนำให้ปฏิบัติตามแนวทางปัจจุบันจนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับวัคซีนใหม่
การติดตามหลังการฉีดวัคซีน
หลังจากการฉีดวัคซีนแล้ว เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรติดตามอาการของสุนัขอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง และทำการบันทึกข้อมูลในสมุดประวัติสุขภาพ เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการฉีดวัคซีนครั้งต่อไป
บทสรุป
การฉีดวัคซีนสุนัขเป็นหน้าที่สำคัญของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยการปฏิบัติตามตารางเวลาที่เหมาะสม การเลือกใช้วัคซีนคุณภาพ และการดูแลหลังการฉีดอย่างถูกต้อง จะช่วยปกป้องสุนัขจากโรคร้ายแรงและยืดอายุการมีชีวิตอยู่ร่วมกับครอบครัว
สัตวแพทย์ทุกท่านเน้นย้ำว่า “การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา” ดังนั้น เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ และปรึกษากับสัตวแพทย์เกี่ยวกับแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมกับสุนัขของตน
การลงทุนเพียงเล็กน้อยในการฉีดวัคซีนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และที่สำคัญคือการรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของสัตว์เลี้ยงที่เรารักให้อยู่กับเราได้นานที่สุด