นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังการครางของแมวเมื่อถูกลูบ โดยเผยว่าไม่ใช่เพียงแค่ความสุข

Exclusive Pet ทาสต้องรู้

การครางของแมวเป็นหนึ่งในเสียงที่น่าหลงใหลที่สุดในโลกสัตว์ ทาสแมวหลายล้านคนทั่วโลกคุ้นเคยกับเสียงเพอร์เรอร์นุ่มนวลที่ดังขึ้นเมื่อเจ้าเหมียวถูกลูบหรือนวด แต่ความลับเบื้องหลังเสียงอันพิเศษนี้มีความซับซ้อนมากกว่าที่เราเข้าใจ งานวิจัยล่าสุดเผยให้เห็นว่าการครางของแมวไม่ใช่เพียงแค่การแสดงความสุข แต่เป็นกลไกการรักษาที่วิวัฒนาการมาอย่างแยบยล

กลไกการครางที่ซ่อนความลับ

การครางของแมวเกิดขึ้นจากกระบวนการที่ซับซ้อนในระบบเสียง งานวิจัยใหม่ล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร Current Biology เปิดเผยว่า แมวบ้านมี “แผ่นรอง” ที่ฝังอยู่ในเส้นเสียงของพวกเขา ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อไขมันเพิ่มเติมที่ทำให้พวกเขาสามารถสั่นสะเทือนที่ความถี่ต่ำได้ โดยกล่องเสียงของสัตว์เหล่านี้ไม่ต้องการสัญญาณจากสมองในการผลิตเสียงครางดังกล่าว

ดร.โบนนี่ บีเวอร์ นักวิทยาศาสตร์สัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยเทกซัส เอแอนด์เอ็ม กล่าวว่า “การครางมีคำอธิบายที่ซับซ้อนและไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานาน” ทั้งนี้เพราะแม้นักวิทยาศาสตร์จะได้คิดทฤษฎีต่างๆ เพื่อแก้ปริศนานี้ แต่ก็ไม่ค่อยมีการทดสอบจริง

การครางเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจ เป็นการส่งเสียงที่แมวทำโดยปิดปากไว้ ระหว่างการหายใจ อากาศจะถูกบังคับผ่านกล่องเสียง (ช่องเปิดระหว่างเส้นเสียงในกล่องเสียง) มันจะเปิดและปิดในช่วง 20-40 มิลลิวินาที แยกเส้นเสียงออกจากกัน กิจกรรมนี้ผลิตเสียงครางออกมา

ความหมายหลากหลายของการครางแมว

การแสดงความพึงพอใจ

เมื่อแมวครางขณะที่คุณลูบพวกเขา นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาชอบการปฏิสัมพันธ์นั้น อาจเป็นสัญญาณให้คุณลูบแมวต่อไปด้วย นี่เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องที่สุดของทาสแมวทั่วไป เมื่อเจ้าเหมียวรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ พวกเขาจะส่งเสียงครางเพื่อแสดงความพึงพอใจ

โดยทั่วไปแล้ว แมวที่ครางขณะถูกลูบ หรือขณะที่พักผ่อนในจุดที่สบาย จะแสดงความพึงพอใจ นี่เป็นช่วงเวลาที่แมวรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ คุณอาจสังเกตเห็นเสียงครางที่นุ่มนวลและเป็นจังหวะ พร้อมกับท่าทางที่ผ่อนคลายและตาหลับครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสัญญาณของแมวที่มีความสุขและพึงพอใจ

การสื่อสารที่ซับซ้อน

การครางเป็นการขอความสนใจทางกายภาพ เช่น การลูบหรือขีดคอจากคน พวกเขาอาจครางเมื่อถูหน้าหรือตัวกับแมวอื่น คนอื่น หรือวัตถุอื่น นักวิจัยยังค้นพบการมีอยู่ของ “การครางเพื่อขอร้อง” ซึ่งรวมเสียงที่มีความถี่สูงขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจของมนุษย์และขอการตอบสนอง เช่น อาหารหรือความรัก

แมวครางเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เพื่อแสดงความพึงพอใจ ความไว้ใจ และความรัก โดยเฉพาะระหว่างการลูบหรือให้อาหาร การครางนี้เสริมสร้างความผูกพันระหว่างแมวและมนุษย์ ส่งเสริมการดูแลและความสนใจที่ต่อเนื่อง

กลไกการรักษาตัวเอง

ข้อค้นพบที่น่าสนใจที่สุดคือการครางของแมวมีคุณสมบัติในการรักษาตัวเอง ตามนักวิจัย การครางทำที่ความถี่ต่ำซึ่งช่วยกระตุ้นบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บให้รู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะเส้นเอ็นและกระดูก ความถี่ของการครางทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในร่างกาย ซึ่งสามารถ: ซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เส้นเอ็นและสร้างกล้ามเนื้อ รักษากระดูกและแผล

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าความถี่ 25 เฮิรตซ์ของการครางของแมวอาจเป็นการบำบัดทางกายภาพในตัว อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ความถี่นี้ยังใช้ในมนุษย์เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

การครางเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและมีลักษณะการรักษาสำหรับแมว จึงสมเหตุสมผลที่มันอาจจะปลอบใจและช่วยบรรเทาความเครียดได้เช่นกัน แมวอาจครางในช่วงเวลาที่เครียดเพื่อปลอบใจตัวเอง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เครียด เช่น การไปพบสัตวแพทย์หรือมีสัตว์เลี้ยงใหม่ในบ้าน แมวอาจเริ่มคราง

การครางในสถานการณ์พิเศษ

การครางเมื่อเจ็บป่วย

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการครางหมายถึงความสุขเสมอ ในขณะที่แมวที่ครางมักเป็นสิ่งที่ดี บางครั้งการครางไม่ใช่สัญญาณของความสุขเสมอไป แมวยังครางเมื่อพวกเขากลัว เจ็บปวด หรือประสบความทุกข์ การครางประเภทนี้สามารถคิดได้ว่าเป็นพฤติกรรมปลอบใจตัวเอง

แมวยังครางเมื่อเจ็บปวดหรือในระหว่างการคลอด เมื่อป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ หรือแม้แต่เมื่อใกล้ตาย ลูกแมวยังครางหลังจากเกิดไม่นาน อะไรคือสาเหตุของการใช้พลังงานทั้งหมดนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบาง?

การครางของลูกแมว

ลูกแมวสามารถครางได้ตั้งแต่อายุ 2 วัน พวกเขาครางเมื่อดูดนมจากแม่และหยุดเพียงพอที่จะกลืน ลูกแมวยังมีแนวโน้มที่จะครางในสถานการณ์คล้ายกับแมวผู้ใหญ่ เช่น เมื่อทักทายพี่น้องหรือแมวอื่น หรือเมื่อขอให้อาหาร

ในวันแรกๆ ที่สำคัญเหล่านี้ การครางปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สำคัญ แม่แมวครางบ่อยๆ และการสั่นสะเทือนที่ให้ความปลอบใจเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสัญญาณนำทางสำหรับลูกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ผลกระทบต่อมนุษย์

การลดความเครียดและความดันโลหิต

การครางของแมวไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อแมวเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อมนุษย์ด้วย การปลดปล่อยออกซิโทซิน: การมีปฏิสัมพันธ์กับแมวที่คราง สามารถกระตุ้นการปลดปล่อยออกซิโทซินในมนุษย์ ออกซิโทซินเป็นฮอร์โมนที่มักเรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งความรัก” หรือ “ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน” ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของความสุข ความไว้ใจ และความผูกพัน

การลดความดันโลหิต: การศึกษาทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการลูบแมวที่ครางสามารถช่วยลดความดันโลหิต ผลการปลอบใจของการครางช่วยลดความเครียด ซึ่งจะลดการผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน

การศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร Journal of Vascular and Interventional Neurology พบว่าเจ้าของแมวมีความเสี่ยงลดลงในการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้เลี้ยงแมว ซึ่งน่าจะเป็นผลจากประโยชน์ของการบรรเทาความเครียดจากสัตว์เลี้ยงของพวกเขา

การบำบัดและการฟื้นฟู

การสั่นสะเทือนที่เกิดจากการครางของแมวอาจมีผลในการให้พลังแก่ร่างกาย นี่เป็นเพราะการสั่นสะเทือนความถี่ต่ำสามารถกระตุ้นเซลล์และเนื้อเยื่อของร่างกาย ส่งเสริมการรักษาและการฟื้นฟู คนบางคนแม้แต่ใช้การสั่นสะเทือนที่เกิดจากการครางของแมวเป็นรูปแบบหนึ่งของการบำบัดด้วยการสั่นสะเทือนเพื่อช่วยเรื่องความเหนื่อยล้าและระดับพลังงานต่ำ

ความแตกต่างระหว่างแมวใหญ่และแมวเล็ก

แมวที่ครางได้ เช่น เสือภูเขาและแมวป่า ไม่สามารถคำรามได้ อย่างไรก็ตาม และแมวที่คำรามได้ เช่น สิงโตและเสือ ไม่สามารถครางได้ โครงสร้างรอบกล่องเสียง (กล่องเสียง) ของพวกเขาไม่แข็งพอที่จะผลิตเสียงคราง

ดร.เบนจามิน แอล.ฮาร์ท นักวิทยาศาสตร์เกียรติยศจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส โรงเรียนสัตวแพทยศาสตร์ อธิบายว่า “หากคุณเป็นแมวใหญ่และคุณต้องเดินทางไปมากเพื่อหาเหยื่อ การคำรามเสียงดังมีบทบาทสำคัญในการรักษาอาณาเขตของคุณ”

การวิจัยและการค้นพบใหม่

งานวิจัยล่าสุดได้ท้าทายความเข้าใจเดิมเกี่ยวกับการครางของแมว การทดลองใหม่แสดงให้เห็นว่าการคราง เช่นเดียวกับการร้องเหมียวและเสียงฟู่ เป็นปรากฏการณ์เชิงรับที่เล่นออกมาโดยอัตโนมัติหลังจากสมองของแมวให้สัญญาณเริ่มต้นในการคราง

ในการศึกษานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำกล่องเสียงออกจากแมวบ้าน 8 ตัว ซึ่งทั้งหมดได้รับการุตรกรรมอย่างมีมนุษยธรรมเนื่องจากโรคระยะสุดท้าย และได้รับการตรวจสอบด้วยความยินยอมอย่างเต็มที่จากเจ้าของ นักวิจัยบีบเส้นเสียงเข้าด้วยกันและสูบอากาศอุ่นที่ชื้นผ่านพวกเขา โดยการแยกกล่องเสียงออกมาแบบนี้ นักวิทยาศาสตร์รับประกันว่าเสียงใดๆ ที่ผลิตขึ้นจะเกิดขึ้นโดยไม่มีการหดตัวของกล้ามเนื้อหรือสัญญาณใดๆ จากสมอง

คำแนะนำสำหรับทาสแมว

สำหรับเจ้าของแมว การเข้าใจความหมายของการครางจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเจ้าเหมียว แมวใช้การครางเพื่อสื่อสาร ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องอ่านภาษากายของแมวและสัญลักษณ์บริบทอื่นๆ ของสถานการณ์เพื่อกำหนดว่าสัตว์เลี้ยงของคุณกำลังสื่อสารอะไรกันแน่ ไม่ว่าพวกเขาจะเจ็บปวดหรือแค่หาขนมเพิ่ม

การสังเกตพฤติกรรมของแมวเมื่อครางเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา หากแมวครางพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ท่าทางที่ตึงเครียด หูแบน การหายใจเร็ว หรือหลีกเลี่ยงการสบตา อาจเป็นสัญญาณของความเครียดหรือความไม่สบาย

อนาคตของการวิจัยการครางแมว

การครางของแมวยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับนักวิจัย เนื่องจากสัตว์หลายชนิดทำเสียงสั่นสะเทือนเหล่านี้เมื่อพวกเขาผ่อนคลาย จึงเป็นพฤติกรรมที่ยากต่อการศึกษา เพราะการมีอยู่ของนักวิจัยมนุษย์สามารถทำให้สัตว์เครียดได้โดยธรรมชาติ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ: ตามคำจำกัดความที่เข้มงวดของการคราง แมวนั้นพิเศษจริงๆ

บทสรุป

การครางของแมวเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งมีมากกว่าการแสดงความสุขอย่างเดียว มันเป็นการผสมผสานของการสื่อสาร การรักษาตัวเอง และความผูกพันทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความพึงพอใจ การขอความช่วยเหลือ หรือการรักษาตัวเองในยามเจ็บป่วย การครางแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่แยบยลของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้

แมวเอาชนะสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 60% ของบ้านมีสัตว์เลี้ยงอย่างน้อยหนึ่งตัว บางทีเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะแมวทำงานได้ดีกว่าในการลดความเครียดและความดันโลหิตกว่าสัตว์เลี้ยงอื่นๆ และการครางอาจช่วยในเรื่องนั้น

สำหรับทาสแมวทั้งหลาย การเข้าใจความหมายหลากหลายของการครางจะช่วยให้เราสามารถดูแลเจ้าเหมียวได้ดีขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสมาชิกตัวเล็กๆ ของครอบครัว เพราะในที่สุดแล้ว การครางของแมวคือภาษารักที่เก่าแก่ที่สุดระหว่างมนุษย์และสัตว์ – ภาษาที่ไม่ต้องการคำพูด แต่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง